เที่ยวญี่ปุ่น ชมใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ 1/4 เที่ยวโตเกียว โอไดบะ
วันนี้พาเหินฟ้าไปเที่ยวกันไกลนิดนึงค่ะ ไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี เอาจริงๆ เป็นการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของปลาค่ะ เชยเนอะ 5555 เพราะฉะนั้นนอกจากทริปนี้จะเป็นทริปที่น่าตื่นเต้นสำหรับปลาแล้ว ยังเป็นทริปพิเศษของเราสองคนด้วย เพราะเป็นทริปฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 10 ฮ่ะ เดิมทีปลาอยากไปมัลดีฟนะ แต่มีเพื่อนมาบิ้วท์บอกให้ไปญี่ปุ่น บิ้วซะอิชั้นเคลิ้ม เออ ไปก็ไป เหตุที่เลือกญี่ปุ่นก็ง่ายๆ นะฮะ เปลี่ยนบรรยากาศไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ไปสัมผัสอากาศเย็นๆ ที่อยู่เมืองไทยมันหายากเหลือเกิน ไปชมวิวสวยๆ และสำคัญสุด คือ…ปลาจะไปปล่อยแก่ที่สวนสนุก 5555 ปลาว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ตอบโจทย์ของเราสองคนได้มากกว่ามัลดีฟ
หลังจากตัดสินใจได้ เราก็เริ่มศึกษาเก็บข้อมูลทั้งจากหนังสือและกระทู้รีวิวต่างๆ และโชคดีมากที่ตอนนั้นญี่ปุ่นประกาศยกเลิกวีซ่าไทยพอดี โชคดีสุดๆ อ่ะ สเต็ปต่อมาคือต้องหาตั๋วเครื่องบิน เรามาได้ตั๋วเครื่องบินจากงาน “เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง” ตั๋วการบินไทย ในราคา 19000 น่าจะโอเคล่ะเนอะ (ตอนนั้นยังไม่เห็นตั๋วโลว์คอสไปญี่ปุ่นเท่าไหร่)
พร้อมออกเดินทางไปด้วยกันหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเล้ยยยยยย
เราออกเดินทางกันวันที่ 2 พย ค่ะ เครื่องออกบ่าย 14.50 ค่ะ แต่เราไปถึงสนามบินกันเร็ว แผนของเราคือไปฝากท้องที่นี่ก่อนค่ะ ก็มีบัตรเครดิต SCB King Power นี่เนอะ
พอได้เวลาก็ไปขึ้นเครื่องกันค่ะ รอบนี้ได้ Gate C9 แน่ะ ซ้อมเดินกันก่อนเลย 555
เที่ยวบินขาไปค่อนข้างว่าง พนักงานต้อนรับเลยมาบอกว่า สามารถเปลี่ยนที่นั่งได้ตามสบายเลยค่ะ แอบเห็นผู้โดยสารคนนึงไปนั่งแถวกลางแล้วนอนยาว 4 เบาะเลยด้วย 555
กำหนดเครื่องลง 22.30น ก็ตรงเวลามากค่ะ แต่พอมาถึงสิ่งที่กังวลคือจะใช้เวลากับ ตม. นานแค่ไหนเพราะที่พักเราอยู่ที่ชินจูกุ เราต้องขึ้น Monorial ให้ได้ก่อนรถเที่ยวสุดท้ายคือเที่ยงคืน และไปต่อ JR Yamanote ก่อนตีหนึ่งอ่ะ
ผลคือเสียเวลากับ ตม. พอสมควรเนื่องจากคนเข้าคิวก่อนหน้าไม่ยอมกรอกข้อมูลตั้งแต่บนเครื่อง พอออกมาได้สอบถามเจ้าหน้าที่สนามบิน ก็พบว่าห่างจากทางออกขาเข้าแค่ 150 เมตรเท่านั้น
จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ช่วยซื้อตั๋วให้ เพื่อเดินทางไปยังสถานีปลายทาง Hamamatsucho ราคาตั๋ว 460 เยน จังหวะนี้รีบมากจนลืมถ่ายทางเข้ากับวิธีกดซื้อตั๋วมา แหะแหะ
Monorail ที่นี่จะมี 3 แบบนะคะ
- Express จอดปลายทางที่ Hamamatsucho เลย
- Rapid จอด 4 สถานีสุดท้าย
- แบบปกติ จอดทุกสถานี
โชคดีที่รถเที่ยวต่อไป จะมาถึงภายใน 1 นาที เป็นรถ Rapid จะจอดเฉพาะ 4 สถานีสุดท้าย ซึ่งทำให้การเดินทางเร็วขึ้น
มาถึงสถานี Hamamatsucho เดินตามป้ายเพื่อต่อ JR Yamanote Line แม้จะใกล้เที่ยงคืนแล้ว แต่คนก็ยังเยอะอยู่เลยอ่ะ แต่ละคนแต่งตัวเหมือนเพิ่งเลิกงานกันออกมาเลย มาถึงตรงนี้ไปยืนงุนงงกับป้ายอยู่พักนึง คือมันเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยอ่ะ หนูอ่านไม่ออกอ่า แงแง
ไปถามพนักงานเค้าก็ตอบอะไรมาไม่รู้ บอกแค่ว่า 190 เยน 190 เยน ไอ้เราก็ งง แล้วให้กดตรงไหนล่ะ ที่มันจะบอกว่าไปชินจูกุน่ะ สุดท้ายฮ่ะ ด้วยความกลัวว่าจะไปไม่ถึง เลยตัดใจถามคนแถวนั้นเอาล่ะค่ะ ก็คนที่ใส่ชุดทำงานเดินมานั่นแหละ เดาเอาว่าเค้าน่าจะช่วยเราได้แหละน่า แล้วก็จริงฮ่ะ คือคุยกันแทบไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเค้าไม่พูดอังกฤษกะเราอ่ะ แต่เราชี้ๆ แผนที่แล้วบอกเค้าไปว่า เราจะไปชินจูกุ แค่นั้นแหละ เค้าก็ขอตังค์แล้วเดินไปกดที่เครื่องให้เราเลย โอ๊ยยย รอดตายไปอีกหนึ่งที ขอบพระคุณคุณผู้ชายกลุ่มนั้นมากเลย เชื่อแล้วที่ว่าคนญี่ปุ่นมีน้ำใจ
หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้ฮ่ะ เหมือนกระดาษนะ แต่ด้านหลังจะเป็นแถวแม่เหล็ก การใช้งานเหมือนบัตร BTS แบบเที่ยวเดียวนี่ล่ะ
JR Yamanote Line จะวิ่งเป็นวงกลม ขึ้นฝั่งไหนก็ไปถึงปลายทางได้เหมือนกัน โดยราคาตั๋วแพงสุดอยู่ที่ 190 เยน
ชอบตรงนี้ เค้ามีป้ายบอกเวลาด้วยว่าขบวนรถไฟจะมาตอนไหน แล้วขอบอกนะ ตรงเวลาจริงๆ
ภายในรถไฟ จะมีจอภาพแสดงชื่อสถานที สลับระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษ พร้อมบอกระยะเวลาในการเดินทางไปถึงแต่ละสถานีอีกด้วย
และแล้วเราก็มาถึงสถานีชินจูกุค่ะ ทีนี้มีปัญหาใหม่ (ปัญหาตลอดตั้งกะไปถึงอ่ะ 555) คือถ้าคนเคยไปสถานีนี้จะรู้ว่า สถานีมันใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกก อีนี่ก็เลย งง สิ แล้วเราจะออกรูไหนฟะ เดินงุนๆ งงๆ กะพี่เอ๋ จนเกือบจะออกจากสถานีอยู่แล้วนะ แต่มาคิดว่า คุ้น ๆ ว่าโรงแรมต้องออกฝั่ง West Gate แต่ฝั่งที่เดินมาคือ East Gate
เดินดูยังไงก็ไม่เจอป้ายทางไป West Gate เลย แล้วจะทำยังไง น่าจะมีหลงหนักกว่าเดิมนะ ปลาก็เลยเสนอว่าให้ลองถามคนแถวนั้นดูมะ เพราะมันเริ่มดึกมากแล้ว จะตี 1ได้แล้วอ่ะนะ พี่เอ๋ก็เดินไปเดินมาแล้วตัดสินใจเข้าไปถาม ช-ญ คู่นึงที่ยืนคุยกันอยู่ ปรากฏว่า พูดอังกฤษไม่ได้อีกแล้วจ้าา 555
แต่… แต่ เค้าพยายามมาฮ่ะ พยายามจะช่วยเรามากเลย โดยเราชี้แผนที่ให้เค้าดูว่าเราจะไป รร นี้ แต่เราไม่รู้ว่ามันต้องออกทางไหน ปรากฏว่าพวกเค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แป่ว! แต่คุณผู้หญิงเค้าอาสาจะไปถามคนอื่นให้ ว่าแล้วนางก็ถือที่อยู่ รร ของเราไป เพิ่งมาสังเกตเห็นว่า นางเดินไม่ค่อยตรงทางอ่ะ เป๋ไปเป๋มา หันกลับมามองคุณผู้ชายที่ยืนคุยอยู่กะนาง ปรากฏว่าถือกระป๋องเบียร์กันอยู่ เอาสิ ท่าทางจะเมานะ แล้วจะได้เรื่องมั้ยล่ะ 5555
ยืนรอนางอยู่สักพัก นางก็เดินกลับมาค่ะ เดินกลับมาแบบงงๆ ไอ้เราก็ส่งยิ้มไปให้ก่อน แต่นางทำเฉยๆ แล้วเหมือนจะเดินเลยพวกเราไป จนเพื่อนผู้ชายของนางต้องกวักมือแล้วเรียก นางก็หันมามองแล้วทำหน้างงใส่อีก จนเพื่อนผู้ชายต้องเรียกย้ำอีกที นางถึงเพิ่งนึกได้มั้งก็เลยเดินเข้ามาหาพร้อมส่งยิ้มมาให้
สรุปว่า นางเมาจนลืมว่าเมื่อกี้นางคุยอยู่กะใครน่ะ เล่นเอาคนยืนรอสามคนฮากันเลยทีเดียว 55555 และผลจากที่นางไปถามนางปรากฏว่า พี่ขึ้นมาผิดฝั่งจริงๆ ฮ่ะ (อู้ยยย ดีนะไม่ออกจากสถานีไปก่อนค่อยถาม ไม่งั้นได้เดินกันอ้อมโลกล่ะ) นางก็มาบอกทางให้เดินไปอีกฝั่ง แต่ฟังแล้วไม่เข้าใจสิฮะ สุดท้าย นางเลยจูงมืออิชั้นพาเดินไปเลยจ้า ได้พิสูจน์จริงๆ นะจ๊ะ ว่าน้ำใจคนญี่ปุ่นเค้าเลอค่าขนาดไหน
หลังจากเจอทางออกฝั่ง West Gate ปัญหาที่ 3 ตามมาคือ แล้วโรงแรมล่ะ อยู่ตรงไหน พอดีเจอเจ้าหน้าที่ของสถานีเลยลองเข้าไปถาม เจ้าหน้าที่ก็ดีมากเลยค่ะ ดูจากแผนที่ของเราแล้วก็อธิบายทางได้ละเอียดมาก เลยออกมาแล้วไม่หลงละทีนี้ 5555
โดยออกจากสถานีแล้วเดินมาทางขวามือจนเจอสี่แยก จากตรงสี่แยกหันมองไปทางซ้ายยยย ก็เห็น โรงแรม ibis Shijuku แล้วล่ะค่ะ เห็นมะ ง่ายมากกก ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที เท่านั้นเองด้วย แถมอุณหภูมิตอนนั้นน่าจะประมาณ 13 – 14 องศา เดินสบายมั่ก ๆ
ข้างโรงแรมเป็นร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ
ส่วนชั้นล่างของ โรงแรม เป็น McDonald’s ที่เปิด 24 ชั่วโมง
ถึง รร ดูเวลาแล้วประมาณตี 1 พอดี การเช็คอินนี่พนักงานบริการได้รวดเร็วมากค่ะ ส่วน Pocket Wifi ที่เราจองไว้ให้ไปส่งที่โรงแรมก็มาถึงแล้วเหมือนกัน
ห้องมีแค่นี้จริง ๆ ตอนแรกจองผิดเป็นแบบเตียงคู่ ซึ่งห้องน่าจะใหญ่กว่า แต่ห้องนี้แพงกว่า แต่เล็กกว่าซะงั้น
สาเหตุที่เลือกพัก ibis เพราะตอนนั้นมีบัตร accor advantage plus อยู่ค่ะ พักฟรี 1 คืน หลังจากนั้นได้ลด 10% ตอนนั้นคิดเอาเองว่าน่าจะคุ้มล่ะนะ เพราะถึงราคาจะสูง แต่เทียบกับอยู่ในย่านนี้และไม่ไกลจากสถานีรถไฟก็ถือว่าโอเคเลย แต่อารมณ์เปิดประตูเข้าไปครั้งแรกนี่ ก็ตกใจนิดๆ นะ 555 ห้องแคบขนาดเดินสวนกันไม่ได้ นี่คืนละ 5000 นะเนี้ย
ห้องน้ำถือว่าใหญ่เลยทีเดียว มีอ่างให้แช่น้ำด้วย สบู่ ยาสระผม เป็นของ Shiseido ทั้งหมด แปรงและยาสีฟัน มีโกนหนวดพร้อมเจลหล่อลื่น และอื่น ๆ
หลังจากสำรวจห้องเรียบร้อย ก็เริ่มรู้สึกหิวเล็ก ๆ เลยลงไปเดินร้านสะดวกซื้อข้าง ๆ รร ดู ได้น้ำเปล่ากับของกินรองท้องเล็กๆ น้อยกลับมา น้ำเปล่านี่ขวดละ 35 บาท รวมมื้อนี้จ่ายไปอีก 600 กว่าเยน กินเสร็จก็ได้เวลานอน แต่แค่นี้ก็ตี 2ครึ่งแล้วนะ ต้องรีบนอนล่ะค่ะ วันรุ่งขึ้นจะได้ตื่นไปเที่ยวได้แต่เช้าหน่อย
เช้าแล้วๆ เช้าวันที่ 2 ของทริป แต่จะเป็นวันแรกที่เราได้ออกเที่ยวกัน ตื่นเช้ามาเราออมาเดินหาของกินกันค่ะ ปรากฏแถวนั้นไม่ค่อยมีอะไรขายเลยอ่ะ สุดท้ายเลยกลับมาฝากท้องกับ รร แทน
แล้วก็พบว่าค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับไลน์อาหารเช้าของที่นี่ ได้แค่กินประทังชีวิตไปก่อนมื้อนึง ดีที่มีบัตร accor เลยจ่ายแค่ 50% ถ้าต้องจ่ายเต็มคงเจ็บปวดมากอ่ะ
อิ่มแล้วก็ออกสตาร์ททริปแบบจริงจังได้แล้วค่ะ ภาระกิจแรกคือไปจองตั๋วรถสำหรับไป kawaguchiko จากที่พักเดินไปได้สบายๆ ค่ะ เพราะเลยสถานีรถไฟไปอีกนิดเดียวเอง แถมอุณหภูมิ 14 องศา นี่ยิ่งเดินสบายเข้าไปใหญ่
ระหว่างทางเราก็ได้พบบทพิสูจน์ที่ว่าญี่ปุ่นเป็นเมืองแห่งตู้กด 555 ดูดิ ตู้กดเพียบเลย ราคาเฉลี่ยที่ 150 เยน ลองกิน 2-3 อย่าง ไม่ถูกปากเอาซะเลยอ่ะ หลังจากนั้นเลยซื้อแต่โค้กกินอย่างเดียว (กลับมาโรคกระเพาะถามหาเลย แหะแหะ)
สถานีรถจะอยู่ตรงข้ามกับทางออกฝั่ง West Gate ของสถานีรถไฟชินจูกุ เดินมาใช้เวลา 5 นาทีเช่นกัน
**** ที่ซื้อตั๋วและจุดขึ้นรถบัสไป Kawaguchiko เปลี่ยนไปอยู่ที่ Shinjuku Expressway Bus Terminal อยู่ทางออก South Exit ของสถานี Shinjuku โดยขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 4 ****
พอใกล้ถึงก็เริ่มเจอรถจอดอยู่เรียงรายแบบนี้แหละค่ะ ตึกขายตั๋วอยู่สุดทางในรูปนี้ ก็ตึกที่เห็นข้างหน้ามีกระจกๆ นั่นแหละค่ะ
มาถึงที่ซื้อตั๋วแล้ว หลังจากคุยภาษามืออยู่พักนึง ได้ความว่า จะจองตั๋วล่วงหน้าต้องไปขึ้นชั้น 2 ค่ะ เปิด 9 โมงเช้า ทางขึ้นชั้น 2 ดูตามแผนที่ (มาเห็นหลังจากขึ้นไปซื้อมาแล้ว)
ทางขึ้นไปซื้อตั๋วดูลึกลับสักนิด แถมป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นอีก คือถ้าไม่ถามมาจากข้างล่าง คงคิดว่ามาผิดอ่ะ 555
แต่เราก็มาถึงฮ่ะ จองตั๋วกันในห้องนี้แหละ ราคาถ้าจำไม่ผิดเที่ยวละ 1700 เยนต่อคน รถออกทุก ๆ ชั่วโมง เลยจองเที่ยว 10 โมง 10 นาที
จองตั๋วเสร็จเรียบร้อย ก็ไปเที่ยวกันต่อได้ค่ะ โปรแกรมวันนี้ตระเวนอยู่ในโตเกียวนี่แหละค่ะ เดินออกจากตึกที่ซื้อตั๋วมา ก็ได้เห็นตึกนี้ค่ะ เป็นห้าง Bic Camera ที่ถือเป็นสาขาที่ใหญ่มากรวมอยู่กับห้าง Odakyu (ร้าน big camera ที่ชินจูกุนี่มีหลายสาขามากเลยนะ)
สถานีรถไฟชินจูกุ นี่เป็นเหมือนชุมทางของรถไฟเลยนะ คือรถไฟสารพัดสายจะต้องวิ่งมาสถานีนี้
สถานีเลยใหญ่มากกก แถมในสถานียังมีห้าง Odakyu อยู่ด้วย พักชินจูกุ 3 วันนี่ไม่เคยเดินไปทางออกอื่นนอกจาก West Gate เลยนะ คือกลัวหลง 5555
ที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันเช้านี้คือ Harajuku เราเดินทางกันด้วยรถไฟ สาย JR Yamanote นั่งไปไม่ไกลเลยค่ะ แค่ 2 สถานีจาก Shinjuku ค่าโดยสายก็ 130 เยน ต่อคน
ถึงแล้วค่าาา harajuku ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีเลย ออกจากสถานีมาก็เจอถนน Takeshita อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยค่ะ สังเกตดูคนเยอะพอสมควรแต่ก็ยังไม่เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะมันยังเช้าอยู่มั้ง
เดินเล่นไปเรื่อย เท่าที่เห็นร้านเครปเยอะมากกก แต่ไม่ได้กินสักร้าน …ทำไม ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ งง ตัวเอง 5555
เจอร้าน Daiso ร้านใหญ่เชียวค่ะ เข้าไปเดิน ๆ แต่ก็ไม่ซื้อ เพราะคิดว่าเดี๋ยวคงเจอที่อื่นอีก แล้ววันนี้ยังไปอีกหลายที่เก็บไว้ก่อนดีกว่า ผลคือ … หลังจากนั้นไม่เจอ Daiso อีกเลย บทเรียนของพี่จำไว้ว่าวันหลังเจอแล้วอยากได้อะไรให้ซื้อไว้เลย
ร้านขายยาที่ใคร ๆ เรียกกัน ที่นี่ก็ใหญ่โตอยู่นะ เข้าไปเดินเมียง ๆ มอง ๆ แล้วก็ออกมา กะว่าวันกลับค่อยซื้อก็ได้ โชคดีมากที่ร้านขายยานี่หาได้ง่ายมากในชินจูกุ
เดินดูของเพลินๆในฮาราจูกุกันค่ะ
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์พอดี ถนนงี้โล่งเชียวอ่ะ แต่คนญี่ปุ่นก็ยังยืนรอสัญญาณไฟให้คนข้าม ไม่มีใครเดินออกมาเลยทั้ง ๆ ที่ไม่มีรถวิ่งบนถนน น่าชื่นชมจริงๆ
ออกจากฮาราจูกุก็ไปต่อกันค่ะ เห็นรูปรู้เลยใช่มะว่าคือที่ไหน ใช่ค่าา ชิบูย่า นั่นเองงงงง เราเดินทางมาด้วยรถไฟเหมือนเดิมแหละค่ะ สถานีรถไฟที่นี่ก็เป็นอีกสถานีที่ใหญ่และซับซ้อนมาก สถานีเชื่อมต่อกับห้างโตคิว แถมมีรถไฟ Tokyo Metro สาย Ginza ผ่านที่ชั้น 3 ของห้าง เดินแล้วงงค่อด 555
ปล.มีคนบอกว่าถ้าจะให้มาถึงชิบูย่า ต้องถ่ายรูปตรงนี้ก็เลยกดมาซะหน่อย
อีกภาพที่ยืนยันว่าอยู่ชิบูย่า 555
5 แยกใหญ่ที่มีคนเป็นร้อยข้ามถนนพร้อมๆกัน
จุดหมายแรกคือไป Tower Record เป็นภาระกิจอันยิ่งใหญ่ของพี่เอ๋ คือซื้อแผ่นที่ลูกน้องกับน้องชายคุณเค้าฝากซื้อ 555 เดินประมาณ 3 นาทีจาก 4 แยก
คือตึกเค้าใหญ่มากอ่ะ ถ้าไปเดินหาเองคงหลายชั่วโมงกว่าจะเจอ เราเลยเอารูปในมือถือให้พนักงานดู แล้วพาไปหยิบ ได้ของครบแล้ว
และวันนี้เราก็มีไกด์กิติมศักดิ์มาช่วยนำทางให้ค่ะ “ภูมิ” เพื่อนของพี่เอ๋ คุณเค้าทำงานที่โตเกียวนี่แหละ ทำงานมานานจนมีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น 555
เจอกันใกล้เที่ยงพอดี ภูมิเลยพาไปหม่ำมื้อกลางวันกันค่ะ มื้อนี้ภูมิขอเป็นเจ้ามือพามากินราเม็งแห้งเจ้าดัง มาถึงร้านมีคิวอยู่ 1 คิวต้องรอหน้าร้านสักพัก ร้านชื่อไรไม่รู้ อ่านไม่ออก 555
รอสักพักก็ได้เข้ามายืนรอในร้านกดดันคนที่นั่งกินอยู่ ให้รีบอิ่มรีบลุก 555 ร้านเป็นแบบ Counter Bar นั่งเรียงกันไปค่ะ คนขายมี 3 คน คนนึงรับจัดการคิว รับ Order จากตู้กด อีกคนทำราเม็ง อีกคนส่งตามโต๊ะ
ราเม็งที่สั่ง อะบุระ โซบะ (油そば) เป็นบะหมี่แห้งญี่ปุ่น รสชาติจะไม่ต่างจากราเมงแบบมีซุปมากนัก เพียงแต่ใส่น้ำขลุกขลิกให้กินง่ายไม่แห้งไปนัก มี 3 ขนาดคือ กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก ราคา 680 เยน เท่ากันหมด อันนี้ชามกลาง คือจะบอกว่าแค่ชามกลางก็เยอะมากแล้วอ่ะ
เราพยายามอย่างมากที่จะกินให้หมด กลัวคนทำเสียใจ แต่สุดท้าย ไม่ไหวจริงๆ ฮ่ะ ต้องยกธงขาว แต่รสชาติเค้าก็อร่อยอยู่นะ
อันนี้ชามใหญ่ของพี่เอ๋กับภูมิ เส้นเยอะมากจนสุดท้ายพี่เอ๋กินเหลือนิดหน่อย แต่ภูมิน่ะเหรอ ไม่เหลืออ่ะฮ่ะ
หลังจากอิ่มหนำสำราญใจกันไปเรียบร้อย ตอนแรกเลยตั้งใจว่าจะกิน Shibuya Honey Toast ล้างปากต่อ เพราะไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้ เราก็มาไปกินร้านต้นตำรับกันซะหน่อยใช่มะ แต่อิ่มราเม็งมากเลยอ่ะ เลยตัดสินใจไปเดินย่อยที่ Bic Camera (คือไปที่ไหนก็เจอ bic camera นะ พูดเลย)
สุดท้ายเลยได้เสียเงินให้ที่นี่เป็นที่แรก เพิ่งรู้ว่าราคาหน้าร้านกับราคาใน Internet ไม่เท่ากันแฮะ แล้วโชคดีมากที่พี่เอ๋เช็คราคาใน Net ก่อนไป ราคาใน Net ลด 35% แต่ราคาหน้าร้านลดแค่ประมาณ 20%
พี่เอ๋เลยเอาราคาใน Net ให้พนักงานดู สุดท้ายพนักงานให้ราคาตาม Net (มีงี้ด้วยว่ะ 555) (เพราะฉะนั้นใครอยากจะไปซื้อกล้องอะไรพวกนี้ แนะนำว่าเช็คราคาใน Net กันไปก่อนล่วงหน้านะจ๊ะ) แถมลดเพิ่มอีก 8% แบ่งเป็นลดจาก Passport 5% และบัตร VISA อีก 3% ก็รูดกันไป ต้องบอกว่าคุ้มไปเลยสำหรับ 2 ชิ้นนี้
ปล.โชคดีมากที่ภูมิมาด้วยนะ มีคนช่วยคุย ไม่งั้นคงคุยกับเค้าไม่รู้เรื่องอ่ะ
เสียเวลาอยู่ใน Bic Camera นานไปหน่อย นานจนราเม็งย่อยไปหมดแล้ว ออกจาก bic camera เลยกินของหวานกันต่อได้ ร้านที่เราจะไป เราอ่านเจอในหนังสือ เค้าอ้างว่าเป็นต้นตำรับ honey toast เลยนะ มาแล้วไม่กินได้ยังไงจริงมั้ย อิอิ
ทางไปร้านก็สังเกตจากตึกนี้ดูค่ะ ถ้าหันหน้าเข้าหาตึกแบบในรูปนี้ ร้านจะอยู่ขวามือค่ะ (ยืนที่ห้าแยกชิบูยะก็เห็นตึกนี้ล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วง)
ถึงแล้วค่าาา ร้านนี้เลย Pasela Resorts
หน้าร้านมี Mock-up ให้ดูชิ้นใหญ่น่ากินดีจริง ๆ
เข้ามาดู Menu น่ากินมั่ก ๆ พนักงานเดินมาคุยเพื่อสรุปให้ว่า แต่ละคนต้องสั่งอย่างน้อย 1 อย่างเป็นเครื่องดื่มก็ได้ และ ทางร้านมีบริการน้ำชาเติมฟรีตลอด
สั่งน้ำมา 2 แก้ว จำชื่อกับราคาไม่ได้ค่ะ แก้วนี้ของเราเอง อร่อยดีจัง อิอิ
มาแล้วค่าาา ขนมที่สั่งไป Strawberry Cheese Cake Toast ราคา 830 เยน
คือตอนแรกเห็น mock up หน้าร้านก็คิดว่าคงทำหลอกมั้ง ชิ้นใหญ่เชียว แต่ของจริงยกมา คือมันหย่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก นั่งมองหน้ากัน 3 คน จะหมดมั้ยฟะเนี่ย แต่ด้วยความอร่อยของมันเลยไม่เหลือค่ะ
ขอบอกว่าอร่อยเจงๆ นะ หอม หวานกำลังดี ไม่มีเลี่ยนเลย ปกติกินร้านในเมืองไทยนี่ แค่ครึ่งชิ้นก็เลี่ยนแล้วนะ แต่อันนี้ไม่เลย อร่อยมากๆ ไม่เสียแรงที่ได้มาชิมจริงๆ น้ำตาจิไหล
กินของหวานกันตอนเกือบเย็นได้ คิดไม่ออกเลยจะกินข้าวเย็นกี่โมง 555 อิ่มจากฮันนี่โทสก็ไปต่อกันค่ะ เป้าหมายต่อไปคือ “โอไดบะ” การเดินทางไป Odaiba ก็ใช้ JR Yamanote จาก Shibuya ไปลงสถานี Shimbashi เพื่อต่อรถไฟสาย Yurikamome อีกที
แผนที่ของรถไฟสาย Yurikamome
รถไฟสายYurikamome ราคาต่อเที่ยวถ้าคิดราคาไปกลับจะเสียเงินประมาณ 760 เยน เลยปรึกษากันว่าเราจะนั่งไปสถานี Aomi เข้า ห้าง Venus fort เพื่อดูรองเท้าร้าน Onitsuka Tiger ก่อนนั่งย้อนกลับมาสถานี Daiba เพื่อถ่ายรูปสะพานสายรุ้ง กับ Gundam แล้วค่อยนั่งกลับ
สรุปเลยซื้อตั๋ว One Day Pass ราคา 800 เยน ได้บัตรเป็นที่ระลึกด้วย (Yurikamome แปลว่า นกนางแอ่นหัวดำ ตามรูปในบัตรเลย)
จริง ๆ แล้วการเดินทางไป Odaiba ยังไปได้อีกทางนึงนะคะ โดยขึ้นรถไฟสาย Rinkai ซึ่งจะถูกกว่า แต่ว่าสาย Yurikamome จะวิ่งวนขึ้นสะพานสายรุ้งจะได้วิวที่ดีกว่า
มาถึงแล้วห้าง Venus Fort ห้างใหญ่พอสมควรเลยค่ะ แต่เลือกเดินไปร้าน Onitsuka เลย ทำไมต้องมา onitsuka ที่นี่ ก็มีคนแนะนำมาว่ามาที่นี่ช็อปใหญ่ แล้วมีรุ่นให้เลือกเยอะกว่าน่ะค่ะ
ภายในห้าง venus fort นี่เค้าก็ทำสวยอยู่นะคะ
เจอช็อป Onitsuka Tiger แล้วล่ะค่ะ แต่เราว่าก็ไมได้ใหญ่มากนะ หรือจริงๆมันใหญ่แล้วก้ไม่รู้ เพราะยังไม่ได้ไปเดินสาขาอื่นเลย เดินดูรองเท้าอยู่พักนึง แต่ไม่เจอแบบที่ถูกใจเท่าไหร่อ่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้เสียตังค์เลย เสียใจจุง อิอิ
ออกมาเดินเล่นด้านนอกกันดีกว่าค่ะ ช่วงที่ไปเป็นปลายปีพอดี ทางห้างเลยเริ่มมีการตกแต่งไฟเตรียมรับเทศกาลคริสมาส วันนั้นมีพิธีเปิดไฟต้น คริสต์มาสพอดี มีการร้องเพลงประสานเสียงไพเราะเชียว
มีอัด VDO มาด้วยนะ
จากนั้นเดินเลาะมาเรื่อยๆ จนมาเจอส่วน Toyota Mega Web เป็น Showroom ที่ใช้แสดง Technology ของ Toyota
มาถึงส่วนแสดงรถสั่งทำพิเศษสำหรับผู้สูงอายุโดยที่นั่งสามารถหมุนออกมาได้
ส่วนคันนี้สำหรับคนพิการที่รถออกแบบมาให้ไม่ต้องใช้ขาขับ และมีระบบเก็บรถเข็นอัตโนมัติด้วย คือเจ๋งมาก แต่ที่ชอบมากคือเจ้าหน้าที่ของที่นี่ค่ะ เห็นเรามายืนมอง ก็รีบเข้ามาสาธิตและอธิบายการใช้งานอย่างละเอียด โดยสมมติตัวเองเป็นคนพิการ ใช้เวลากว่า 10 นาที สาธิตด้วยความตั้งใจมาก สุดยอดจริง ๆ อ่ะ เวลาพี่ไปเดินงานมอเตอร์โชว์ที่บ้านเราพนักงานยังไม่เซอร์วิสมายด์แบบนี้เลย
ออกจากโตโยต้า ก็เดินทะลุต่อมาจะพบชิงช้าสวรรค์ …แต่เราไมได้ขึ้นนะ
จาก Venus Fort เราเดินทางกลับมาที่สถานี Daiba เพื่อที่จะมาถ่ายรูปสะพานสายรุ้ง แต่พอดีวันนั้นเป็นวัน Culture Day ของญี่ปุ่นค่ะ มีการจัดงาน มีการแสดงเยอะแยะมากมาย ผู้คนล้นหลามเต็มลานแถวนั้น จนไม่มีที่ถ่ายรูปเลยอ่ะ
แต่ข้อดีคือการออกร้านขายของ อารมณ์เหมือนงานวัดบ้านเราอ่ะ
เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านซูชิร้านนึงค่ะ ภูมิบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก เลยลองชิม เอ้อออ อร่อยจริง ๆ ค่ะ ภูมิคุยกับคนขายได้ความมาว่า ถ้าซื้อหน้าปลาไหล จะแถมหน้าซาบะดองให้ด้วย แต่อิชั้นไม่กินปลาไหลสิ ไม่กล้ากิน กลัวคาว ภูมิยุบอกมาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีให้ลองชิมดูค่ะ กล่อมอยู่นานว่ามันไม่คาวหรอก สุดท้ายเลยตัดใจลองชิม ผลคือ มันอร่อยเจง ๆ ค่าาา ไม่คาวเลย วาซาบิที่เค้าใส่มาก็กำลังดี น้ำซอสบนหน้าปลาไหลก็อร่อยมาก
สรุป อิชั้นเลยซื้อหน้าปลาไหลกลับมาค่ะ แล้วยกหน้าซาบะดองให้ภูมิไปแทน 5555 ค่าเสียหายแค่ 1300 เยน คุ้มสุด ๆ
มาถ่ายรูปเล่นกันต่อค่ะ อีกสัญลักษณ์หนึ่งของ Odaiba ก็คือ เทพีเสรีภาพ เนื่องจากทริปนี้ตัดสินใจไม่เอาขาตั้งกล้องไป (น่าจะคิดถูกเพราะแบกไม่ไหว) เลยต้องตั้งกล้องไว้บนราวจับแทน ภาพเลยยังไม่สวยเท่าไหร่แฮะ
มาถึง odaiba ไม่มาถ่ายกับอันนี้ได้ยังไง กันดั้ม
ถ่ายกันดั้มเสร็จก็เป็นที่พอใจของหนุ่ม ๆ ค่ะ ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว พรุ่งนี้เรามีภารกิจสำคัญต่อ เราเดินทางกลับมาถึงชินจูกุประมาณ 3 ทุ่ม เริ่มหิวนิดๆ เลยฝากท้องง่าย ๆ ที่แมคฯ ใต้ รร ค่ะ กินตอน 3 ทุ่ม ถามว่ากลัวอ้วนมั้ย บอกเลยไม่กลัว เพราะพี่เดินเยอะมากกกกกกกกกกกก พี่คาร์ดิโอล่วงหน้าไปเยอะ 5555
ถึงห้องพักบอกเลยว่าหมดสภาพฮ่ะ นี่แค่วันแรกนะ เหอเหอเหอ พักเอาแรงกัน พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันต่อ ภาระกิจสำคัญด้วยนะพรุ่งนี้อ่ะ
ใครอดใจไม่ไหว ไปตาม เที่ยวญี่ปุ่น กันต่อที่ ตอนที่ 2 กันได้เลยค่ะ